โบรกเกอร์ Forex
โบรกเกอร์ Forex คืออะไร ??

โบรกเกอร์ Forex คืออะไร ??

 

เทรดฟอเร็กซ์ คือ ตลาดสำหรับสกุลเงิน ซึ่งแตกต่างจากสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้ส่วนใหญ่ เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจพอๆ กับที่เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ โดยสรุปได้ง่ายๆ ว่า ถ้าประเทศต่าง ๆ เป็นบริษัท สกุลเงินจะเป็นหุ้นของบริษัทเหล่านั้น และมีธนาคารกลางเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงิน จึงทำให้การตัดสินใจนโยบายการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อราคาในการซื้อขาย Forex 

 

โบรกเกอร์ Forex คือ บริษัทที่ทำหน้าที่รับคำสั่ง Buy และ Sell ของเทรดเดอร์ ส่งตรงไปยังศูนย์กลางตลาด Forex หรือ liquidity provider (ผู้ให้สภาพคล่อง)

 

ตัวอย่าง

นาย ก. เปิดออเดอร์ Sell > โบรกเกอร์รับออเดอร์นี้ไว้ แล้วส่งไปที่ > ตลาดกลาง

 

โบรกเกอร์ Forex แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

 

1. Dealing Desk (DD)

โบรกเกอร์ประเภท Dealing Desk (DD) ทำหน้าที่รับคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไว้กับตัวเอง ไม่ส่งตรงไปยังศูนย์กลางตลาด Forex หรือ liquidity provider (ผู้ให้สภาพคล่อง)

 

ตัวอย่าง

นาย ก เปิดออเดอร์ Sell > โบรกเกอร์รับออเดอร์นี้ไว้ เมื่อเป็นกำไรโบรกเกอร์จะนำเงินของโบรกเกอร์จ่ายให้แทน

 

ลักษณะโดยทั่วไปของ Dealing Desk

-โบรกเกอร์เก็บออเดอร์ไว้เอง

-เราได้กำไร หมายถึง โบรกเกอร์ขาดทุน

-โบรกเกอร์สามารถ ตั้งกราฟราคาเองได้

-ไม่ค่อยโปร่งใส ในกราฟราคา

-ยิ่งเทรด ขาดทุน โบรกเกอร์ยิ่งได้กำไร

-กราฟราคาจะแกว่งตัวมากกว่าปกติ

 

ข้อดี Dealing Desk (DD)

-ค่าบริการถูกมาก

-สเปรดต่ำมาก และคงที่

 

ข้อเสีย Dealing Desk (DD)

-กราฟราคาไม่น่าเชื่อถือ

-อาจจะมีการโกงกราฟราคา

-โบรกเกอร์ ต้องการกำไรจากการขาดทุนของเทรดเดอร์

-ไม่โปร่งสัยเท่าที่ควร

-ปลอดภัยต่ำกว่า โบรกเกอร์ NDD

-เปิดคำสั่งซื้อขายล่าช้า

-โบรกเกอร์อาจจะกระชากกราฟราคาเอง เพื่อกิน Stop Loss

 

2. No Dealing Desk (NDD)

โบรกเกอร์ประเภท Non Dealing Desk (NDD) จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพียงเท่านั้น โดยจะส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ ไปยังศูนย์กลางตลาด Forex หรือ liquidity provider (ผู้ให้สภาพคล่อง)

 

ตัวอย่าง

นาย ก เปิดออเดอร์ Sell > โบรกเกอร์ก็จะส่งออเดอร์นี้ไปให้ liquidity provider เมื่อเป็นกำไรโบรกเกอร์จะนำเงินจาก liquidity provider มาจ่ายให้นาย ก

 

ลักษณะโดยทั่วไปของ Non Dealing Desk

-โบรกเกอร์ไม่เก็บออเดอร์ไว้เอง

-โบรกเกอร์ ไม่มีส่วนได้-เสีย กับกำไรเรา

-โบรกเกอร์นำราคาจริงมาแสดง

-โปร่งใส ในกราฟราคา เชื่อถือได้

-ยิ่งเทรด ขาดทุน ก็ไม่มีผลกับโบรกเกอร์

-กราฟราคาเป็นไปตามธนาคารกลาง

 

ข้อดี Non Dealing Desk (NDD)

-กราฟราคาน่าเชื่อถือ

-ไม่โกงกราฟราคา

-โบรกเกอร์ ไม่ต้องการกำไรจากการขาดทุนของเทรดเดอร์

-ปลอดภัย

-เปิดคำสั่งซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว

-ไม่มีการกระชากกราฟราคาเอง เพื่อกิน Stop Loss

 

ข้อเสีย Non Dealing Desk (NDD)

-ค่าบริการที่แพงกว่า (แต่ไม่มาก)

-สเปรดต่ำสูงกว่า (แต่ไม่มาก)

 

โบรกเกอร์ Non Dealing Desk (NDD) แบบละเอียด

โบรกเกอร์ประเภท Non Dealing Desk (NDD) จะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

 

  1. STP (Straight Through Processing) คือ การประมวลผลโดยตรง เมื่อเทรดเดอร์เปิดออเดอร์คำสั่งซื้อขายจะถูกส่งตรงไปที่ตลาดกลางทันที

 

  1. ECN + STP (Electronic Communication Network + Straight Through Processing) คือ ระบบอัตโนมัติเพื่อเก็บคำสั่งซื้อที่ตรงกัน + การประมวลผลโดยตรง ลักษณะจะเป็นกึ่ง ECN และ STP ผสมผสานกัน ซึ่ง ECN หมายถึง การจับคู่คำสั่งซื้อขายของลูกค้า ในเครือ ECN ของตนเอง ซึ่งอาจจะเป็น ธนาคาร, กองทุน หรือเทรดเดอร์ตามบริษัทต่างๆก็ได้

 

เลือกโบรกเกอร์แบบไหนดี ??

แน่นอนว่า โบรกเกอร์ประเภท Non Dealing Desk (NDD) คือโบรกเกอร์ประเภทที่โปร่งใสที่สุด ปลอดภัยที่สุด และเหมาะกับการเทรดมากที่สุด

 

การเลือกโบรกเกอร์ประเภท Non Dealing Desk (NDD) อาจจะทำให้ต้องใช้เงินลงทุนที่มากกว่าโบรกเกอร์ ประเภท Dealing Desk (DD) เนื่องจากมี Leverage ที่ต่ำกว่า แต่ก็ทำให้การลงทุนปลอดภัยมากกว่าเช่นเดียวกัน

 

 

jum-jim.com

โบรกเกอร์ forex
ฝึกฝนเทคนิค forex ขั้นเทพ จากโบรกเกอร์ forex

ฝึกฝนเทคนิค forex ขั้นเทพ จากโบรกเกอร์ forex

 

โบรกเกอร์ forex มาทำความรู้จักกับ เทคนิค Forex ขั้นเทพ ที่หลายคนใฝ่ฝัน ว่าทำอย่างไรจึงจะได้ระบบเทพนี้ มาครอบครอง และวิธีการพัฒนา ตัวเองให้เป็นเทพ Forex และเมื่อนั้นอิสรภาพ ทั้งด้านเวลา เงิน ก็จะเป็นของคุณ ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ เทรดเดอร์ธรรมดา ๆ หรือเทรดเดอร์มือใหม่ ก็นำไปใช้ได้ อ่านจบบรรลุธรรม ในการเทรดทันที ถ้าพร้อมกันแล้วตามมาดูเลย

 

หลายๆ คนใฝ่ฝัน อยากจะมีทางลัดในการเทรด forex แต่รู้หรือไม่ว่า มันไม่มีอยู่จริง ตัวคุณต่างหาก ที่สามารถฝึกฝนหาความรู้จนมีความเชี่ยวชาญในการเทรดในตลาด forex ได้อย่างเทพ และสามารถเป็นจริงได้อย่างแน่นอน ด้วยการฝึกฝนการเทรดอย่างถูกวิธี มีวินัยสม่ำเสมอ คุณเองก็สามารถเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ในตลาดนี้ได้เช่นเดียวกัน โบรกเกอร์ forex

 

ระบบเทรด Forex ขั้นเทพ เป็นเพียงสิ่งที่หลายๆ คนคิดกันไปเองเท่านั้นว่า เทรดเดอร์เก่งๆ จะต้องมีระบบแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบเทรด ก็เหมือนรถยนต์ดีๆคันหนึ่ง ถ้าผู้ที่ขับขี่ไม่เป็น ก็ไม่สามารถที่จะนำรถไปถึงยังปลายทางได้ แน่นอนการขับรถเป็นทักษะ ที่ใช้เวลาในการฝึก การเทรด Forex ก็เช่นกัน

 

เมื่อกระบี่อยู่ที่ใจ ระบบเทรด Forex ขั้นเทพ ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือธรรมดา ให้เทรดเดอร์ ที่มีฝีมือระดับเทพต่างหากใช้เทรดให้ได้กำไร ปั้นพอร์ต ให้เติบโต แล้วออกไปใช้ชีวิตตามที่ต้องการ

 

วิธีพัฒนาตัวเองให้เป็นเทรดเดอร์ขั้นเทพ

 

-เรียนรู้ จากการ อ่านหนังสือ แรกเริ่มของการเรียนรู้ ด้วยการหาหนังสือ เกี่ยวกับการเทรด มาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ ในการเทรด ในภาพรวมสักเล่มหนึ่ง จะเป็นเสมือนคู่มือ ที่ติดตัว ไว้สามารถเปิดค้นหาข้อมูล ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ตรงไหนไม่เข้าใจ ก็สามารถเปิดดูซ้ำ ๆ ได้ เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจ ในเรื่องของตลาด Forex มากขึ้น

 

-เข้าอบรม หรือสัมมนา เป็นการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ การเข้าอบรม หรือสัมมนา จากทางโบรกเกอร์จัดให้ จะทำให้ได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ พบเพื่อนเทรดใหม่ ๆ มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวคิดหรือวิธีการเทรด สิ่งนี้จะทำให้พัฒนา และก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

 

-ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าทฤษฎีใดก็ตาม จะต้องเรียนรู้ให้ถ่องแท้ และนำมาฝึกฝน ให้ชำนาญ อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะทำให้เกิด ทักษะในการเทรด และเมื่อเกิดทักษะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะเป็นเรื่องง่ายไปหมด เสมือนกับการขับรถ แรก ๆ ก็อาจจะต้องคิด แต่พอผ่านไปสักพัก ทุกอย่าง ก็จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ

 

-ปรับปรุง แก้ไขอยู่ตลอดเวลา จะต้องมีการวิเคราะห์ ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลง ตามสถานการณ์ ถ้าเทคนิคไหน ใช้แล้วไม่เกิดผล ก็ควรที่จะหาทางปรับปรุง หรือพัฒนาให้เป็นระบบ เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

 

หาต้นแบบ ในการเทรด เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ มีอยู่มากมาย ลองเลือกต้นแบบขึ้นมา สักหนึ่งคน และให้ศึกษาวิธีคิด วิธีเทรดของคน ๆ นั้น จะทำให้สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มีประสบการณ์มากพอ แล้วจึงค่อยพัฒนา ระบบเทรดของตัวเองขึ้นมา

 

เทรดเดอร์มือใหม่ คนหนึ่ง เริ่มต้นจากการ ถูกชักชวน จากเพื่อน และได้มีต้นแบบในการเทรดที่มีชื่อเสียง และพัฒนาฝึกฝน ทำตามต้นแบบ อย่างเคร่งครัด และมีการปรับปรุงพัฒนา ตัวเองอยู่ตลอดเวลา และไม่นานก็สามารถทำกำไร ในตลาดนี้ได้เป็นอย่างดี

 

การวิเคราะห์คือกุญแจสำคัญ

การวิเคราะห์ไม่ได้เป็นเพียงกุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรดเท่านั้น แต่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้การเทรด Forex ใช้งานได้จริง โดยมีการวิเคราะห์ตลาดหลักๆ 2 อย่าง คือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค

 

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นรูปแบบการตรวจสอบทางการเงินที่พัฒนาขึ้น เฉพาะในขนาดของประเทศหรือในระดับโลก จึงเป็นรูปแบบการคาดการณ์ราคาที่เก่าแก่ที่สุด ที่ใช้การดูองค์ประกอบต่างๆ ของเศรษฐกิจต่างๆ ในระยะปัจจุบันของวัฏจักร เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง การคาดการณ์ในอนาคต และผลกระทบที่เป็นไปได้ในตลาด และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนและการซื้อขายระยะยาว จึงเป็นการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับ GDP ของประเทศ อัตราการว่างงาน อัตราดอกเบี้ย ปริมาณการส่งออก สงคราม การเลือกตั้ง ภัยธรรมชาติ และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทาน โดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ และจัดการกับปัจจัยต่างๆ ที่ตลาดยังไม่ได้คำนึงถึง

 

ข้อดีข้อเสียของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

โดยข้อเสียของการวิเคราะห์ประเภทนี้ คือ องค์ประกอบของความไม่แน่นอนที่ปัจจัยการผลิตจำนวนมากสร้างขึ้น และข้อดีของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คือ เมื่อดำเนินการอย่างถูกต้อง ก็สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาพื้นฐานที่สามารถช่วยสร้างผลกำไรในช่วงเวลาที่ยาวนานได้

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นรูปแบบการวิเคราะห์ตลาดที่เล็กกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 2 ตัวแปรเท่านั้น คือ เวลาและราคา ซึ่งสามารถวัดได้อย่างเคร่งครัด และเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ทั้งด้วยเหตุนี้สำหรับหลายๆ คน การเทรด Forex จึงสร้างโอกาสได้มากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟแทนการวิเคราะห์จากข้อมูลทางเศรษฐกิจ

 

ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเทรดทั้งระยะสั้นและระยะยาว และเป็นสิ่งเดียวที่มีสำหรับการทำ Scalping อย่างนักเก็งกำไร ผู้ซึ่งทำกำไรจากความผันผวนรายวันแทนการเทรดตามเทรนด์

 

ข้อดีข้อเสียของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณอย่างแม่นยำตามตลาด มีข้อเสียคืออาจส่งผลกระทบต่อตลาดไปแล้ว ในการเชื่อถือผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีแนวคิดที่ว่าการก่อตัวของราคาในอดีตอาจส่งผลต่อการก่อตัวของราคาในอนาคต โดยอาจเป็นเรื่องที่อาจดูไร้สาระสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

 

โดยสรุปก็คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานคือนักสืบทางเศรษฐกิจที่มีอาศัยองค์ประกอบของการคาดการณ์ในอนาคต ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการมองภาพรวมด้านราคา สถิติ และเวลาที่มองเห็นได้ 

 

 

jum-jim.com